ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ในปี 2561 ที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จด้วยการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สามารถทำยอดขายได้พุ่งทะลุเป้ากว่า 33,343 ล้านบาท โดยเป็นคอนโดมิเนียม 17,282 ล้านบาท และแนวราบ 16,061 ล้านบาท จากการเปิดตัวโครงการทั้งหมด 25 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 22 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ
อีกทั้งบริษัทยังมีการเติบโตด้านผลประกอบการที่ดี โดยสามารถทำรายได้รวมอยู่ที่ 25,810 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 5,770 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2560 ซึ่งรายได้หลักมาจากการทยอยส่งมอบคอนโดมิเนียมและแนวราบโครงการต่างๆ จำนวน 7 โครงการ แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สินทรัพย์เติบโตขึ้น 4 % ส่วนของผู้ถือหุ้นเติบโต 22 % โดยมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพียง 39 % ส่วนต้นทุนการเงินที่อัตราเฉลี่ย 2.39 % ณ 31 ธ.ค. 61 และมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 42,529 ล้านบาท ณ 31 ธ.ค. 61 เพื่อรองรับการเติบโตด้านรายได้ของบริษัทในอนาคต
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2561 เป็นปีที่ยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมและแนวราบเติบโตเป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากบริษัทได้วางกลยุทธ์ใหม่ๆ ในหลากหลายด้าน เพื่อเพิ่มช่องทางการรุกตลาดให้โดนใจคนรุ่นใหม่ ทั้งด้านสินค้าและนวัตกรรมต่างๆ ด้านกิจกรรมการตลาดและส่งเสริมการขาย และด้านการให้บริการลูกค้า
สำหรับปี 2562 นับเป็นความท้าทายของศุภาลัยในการสร้างยอดขายและรักษาผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน จากการตั้งเป้ายอดขายของบริษัท 35,000 ล้านบาท และเป้ารายได้รวม 28,000 ล้านบาท ด้วยการวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 34 โครงการ แยกเป็นโครงการแนวราบ ในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล และต่างจังหวัด จำนวน 28 โครงการ โครงการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ จำนวน 6 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 40,000 ล้านบาท
สำหรับกลยุทธ์การเข้าไปลงทุนโครงการในภูมิภาคต่างๆ นั้น บริษัทยังคงมองหาโอกาสขยายการลงทุนเพิ่มเติมไปยังหัวเมืองหลักตามภูมิภาคที่เป็นศูนย์กลางของธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ โดยในปีนี้จะพัฒนาในจังหวัดใหม่ ได้แก่ อยุธยา พิษณุโลก รวมทั้งเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ในจังหวัดที่ได้เข้าไปลงทุนแล้ว ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ อุดรธานี ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง อุบลราชธานี นครราชสีมา สงขลา สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และนครศรีธรรมราช เนื่องจากมีความมั่นใจว่าจังหวัดดังกล่าวมีพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทฯ เน้นการลงทุนในระยะยาว ส่งผลให้มีสัดส่วนยอดขายในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นเป็น 27% ของเป้าการขายรวมของกลุ่มบริษัทฯ